ข้อมูลภูมิสารสนเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งในการยืนยันตำแหน่งที่แท้จริงของพื้นที่ผลิตสินค้า และประเมินว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการตัดไม้ทำลายป่าหลังจากวันที่กำหนดของระเบียบ EUDR หรือไม่ ซึ่งคือวันที่ 31 ธันวาคม 2020 เครื่องมือขั้นสูง เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม แพลตฟอร์มระบุตำแหน่งอย่าง Global Forest Watch Pro และระบบติดตามแบบเรียลไทม์ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและความเสี่ยงด้านการตัดไม้ทำลายป่าได้อย่างแม่นยำ

​

แพลตฟอร์มตรวจสอบสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์และการประเมินความเสี่ยง ยังช่วยสร้างความโปร่งใสให้แก่ผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทำให้เกิดความรับผิดชอบที่ชัดเจน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสุขภาพของห่วงโซ่อุปทาน และแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกับข้อกำหนดของ EUDR ซึ่งช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ในตลาดที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

​

การผสานเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ากับกระบวนการในห่วงโซ่อุปทาน จะช่วยให้บริษัทสามารถระบุความเสี่ยงที่อาจละเมิดข้อกำหนดได้ล่วงหน้า ตัดสินใจเชิงรุก และสร้างระบบจัดซื้อที่โปร่งใสยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics) ยังช่วยยกระดับแนวทางนี้ด้วยการตรวจพบภัยคุกคามจากการตัดไม้ทำล่าป่าตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานไม่เพียงแค่ตรวจสอบย้อนกลับได้ แต่ยังมีความรับผิดชอบอีกด้วย

​

นอกจากนี้ การร่วมมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีและองค์กรด้านความยั่งยืน เช่น สถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute – WRI) ยังช่วยเพิ่มผลกระทบเชิงบวกของโซลูชันเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Anne Rosenbarger จะมาแบ่งปันว่า การรวมเครื่องมือภูมิสารสนเทศเข้ากับการทำงานระดับพื้นที่ช่วยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรรายย่อยได้อย่างไร ซึ่งไม่เพียงช่วยให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ แต่ยังเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ผลิตด้วย

​

เซสชันนี้จะถอดบทเรียนว่าภาคธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาภูมิสารสนเทศและความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR ปกป้องระบบนิเวศป่าไม้ และส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาวของห่วงโซ่อุปทานระดับโลกได้อย่างไร