คุณสามารถเพิกเฉยต่อข้อมูลภูมิสารสนเทศในการแข่งขันสู่การปฏิบัติตาม EUDR ได้จริงหรือ?
- Gusi Ayu Putri Chandrika Sari
- 11 ก.ค.
- ยาว 3 นาที
หมายเหตุจากบรรณาธิการ
เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่บริษัทต่าง ๆ จัดการความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการให้ข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันแบบเรียลไทม์ เพื่อติดตามการใช้ประโยชน์ที่ดินและตรวจจับความเสี่ยงจากการตัดไม้ทำลายป่า ในบทสัมภาษณ์นี้ Dimas Perceka หัวหน้าฝ่ายรีโมทเซนซิ่งและภูมิอากาศของเรา ใช้ความเชี่ยวชาญด้านภูมิสารสนเทศในการอธิบายข้อกำหนดของ EUDR และนำเสนอวิธีที่โซลูชันนวัตกรรมของเรา โดยเฉพาะ Land Use Tracker (LUT) ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับข้อบังคับที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างมั่นใจ เราเชื่อว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนดไม่ใช่แค่ภาระหน้าที่ แต่คือโอกาสเชิงกลยุทธ์เพื่อความยืดหยุ่นในระยะยาวและผลกระทบเชิงบวกอย่างแท้จริง
สรุปสำหรับผู้บริหาร
ข้อบังคับว่าด้วยการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) กำลังเปลี่ยนข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์จากสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มให้กลายเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายในเวทีการค้าระหว่างประเทศ บริษัทที่ต้องการเข้าสู่ตลาดหรือรักษาสถานะในตลาดสหภาพยุโรป จะต้องพิสูจน์ว่าสินค้าของตนผลิตอย่างถูกกฎหมายและปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า—ซึ่งต้องได้รับการยืนยันผ่านข้อมูลพิกัดแปลงเกษตรที่แม่นยำ หากสินค้านั้นปลูกบนที่ดินที่ถูกตัดไม้หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020 หรือขาดความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ จะถือว่าไม่เป็นไปตามข้อกำหนด และไม่สามารถวางจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรปได้ นอกจากนี้ สินค้าที่เป็นไปตามข้อกำหนดจะต้องถูกจัดเก็บแยกจากสินค้าที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
การตรวจสอบย้อนกลับถึงแปลงเกษตรเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันว่าไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเกิดขึ้นในพื้นที่ผลิต ตามข้อกำหนดของ EUDR ผู้ประกอบการต้องเก็บรวบรวมและส่งพิกัดภูมิศาสตร์ของพื้นที่ผลิตทั้งหมดในคำแถลงการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence Statement) ข้อมูลเหล่านี้จะต้องถูกอัปโหลดเข้าสู่ระบบสารสนเทศกลางของ EU เพื่อการตรวจสอบ
KoltiTrace MIS นำเสนอระบบภูมิสารสนเทศที่ผ่านการใช้งานจริงในพื้นที่เพื่อรองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR แพลตฟอร์มนี้ผสานการเก็บข้อมูลภาคสนามแบบเรียลไทม์ ภาพถ่ายดาวเทียม และเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติเข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการตรวจสอบการใช้ที่ดิน การตรวจสอบแหล่งที่มา และการรายงานต่อหน่วยงานรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีเลเยอร์แผนที่ทั่วโลกและการซ้อนทับพื้นที่คุ้มครอง เพื่อให้มั่นใจถึงความสอดคลังในพื้นที่จัดหาวัตถุดิบที่มีความซับซ้อน
ลองจินตนาการว่าคุณสามารถระบุแปลงที่ดินที่ปลูกกาแฟ โกโก้ หรือยางพาราได้อย่างแม่นยำถึงระดับพิกัด GPS — นี่คือระดับรายละเอียดที่ข้อบังคับของสหภาพยุโรปว่าด้วยการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) กำหนดไว้ ข้อบังคับนี้ระบุให้บริษัทต่าง ๆ ต้องแสดงข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนของพื้นที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเกิดขึ้นหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020 ในบริบทกฎหมายใหม่นี้ ข้อมูลภูมิสารสนเทศได้เปลี่ยนบทบาทจากเครื่องมือเฉพาะทางในภาคเกษตรกรรม มาเป็นรากฐานสำคัญของการค้าที่ยั่งยืน
เพื่อให้สอดคล้องกับ EUDR ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องพิสูจน์ว่าสินค้าของตนปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าและมีแหล่งที่มาถูกกฎหมาย ธุรกิจจำเป็นต้องเก็บรวบรวมและรายงานข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ที่แม่นยำของทุกแปลงที่ใช้ปลูกสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ เช่น น้ำมันปาล์ม โกโก้ ยางพารา กาแฟ ถั่วเหลือง และไม้ ทำไมจึงสำคัญขนาดนี้? เพราะความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับเริ่มต้นที่ “สถานที่” หากไม่มีข้อมูลในระดับแปลง เช่น พิกัด GPS และแผนที่ขอบเขตพื้นที่ (polygon) สำหรับพื้นที่เกินกว่า 4 เฮกตาร์ บริษัทจะไม่สามารถพิสูจน์ความสอดคล้องกับข้อบังคับ ประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม หรือยืนยันแหล่งที่มาที่แท้จริงของสินค้าได้
แม้จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศก็ยังคงถูกใช้งานในภาคเกษตรกรรมในระดับที่ต่ำ จากการศึกษาปี 2022 ในแคว้นทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี พบว่าเกษตรกรเพียง 14% เท่านั้นที่ใช้แผนที่จากภาพถ่ายดาวเทียมในการทำไร่ของตน (Gabriel, A., Gandorfer, M., 2023) ในบราซิล แม้ว่า 84% ของเกษตรกรจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างน้อยหนึ่งอย่างในระบบการผลิตของตน แต่มีเพียง 20.4% เท่านั้นที่ใช้ GPS และเพียง 5.4% ที่ใช้แผนที่ดิจิทัล (Bolfe et al., 2020)
สารบัญ:
ในอดีต การใช้ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ (Geolocation) มักจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้นำด้านความยั่งยืน เช่น Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO), Rainforest Alliance และ Fair Trade เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและเสริมความน่าเชื่อถือของการรับรองมาตรฐานต่างๆ แต่เมื่อข้อบังคับ EUDR จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 30 ธันวาคม 2025 การยืนยันด้วยข้อมูลภูมิสารสนเทศจะไม่ใช่เรื่องทางเลือกอีกต่อไป ความท้าทายในตอนนี้อยู่ที่ “การนำไปใช้จริง” ธุรกิจต้องเผชิญกับความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล ความรู้ของซัพพลายเออร์ที่ยังไม่เพียงพอ และอุปสรรคด้านการสื่อสาร
การทำความเข้าใจข้อมูลภูมิสารสนเทศและข้อกำหนดด้านการตรวจสอบย้อนกลับ
ข้อมูลภูมิสารสนเทศมีบทบาทสำคัญต่อระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยให้ข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับตำแหน่งของพื้นที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ช่วยให้บริษัทสามารถยืนยันแหล่งที่มาของสินค้า และมั่นใจได้ว่าสินค้าเหล่านั้นไม่มีความเชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่าหรือการใช้ที่ดินอย่างผิดกฎหมาย
ด้วยการบังคับใช้ข้อบังคับของสหภาพยุโรปว่าด้วยการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) การใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศกลายเป็นข้อกำหนดที่จำเป็น เพื่อพิสูจน์ว่าสินค้าไม่ได้มาจากพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย และเป็นไปตามกฎหมายท้องถิ่น จึงจะสามารถเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรปได้
สำหรับผู้ส่งออกและซัพพลายเออร์ การไม่ปฏิบัติตามอาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่าสูงแห่งนี้ ขณะที่ผู้ที่ปรับตัวได้เร็วจะได้เปรียบในการแข่งขัน โดยสามารถแสดงความยั่งยืน สร้างความไว้วางใจ และรักษาความร่วมมือในระยะยาวได้
บริษัทต่างๆ ต้องยื่นพิกัดละติจูดและลองจิจูดที่แน่นอนสำหรับแต่ละแปลงผลิต และในกรณีที่พื้นที่เกินกว่า 4 เฮกตาร์ จะต้องมีการทำแผนที่ขอบเขตด้วยรูปแบบโพลีกอนเพื่อกำหนดขอบเขตที่ดินอย่างชัดเจน เมื่อนำข้อมูลภูมิสารสนเทศนี้มาบูรณาการเข้ากับข้อมูลซัพพลายเออร์ ปริมาณการผลิต และประเทศต้นทาง ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อกำหนดของ EUDR ได้
หากไม่มีพิกัดที่แน่นอน จะเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยืนยันได้ว่าสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านั้นผลิตขึ้นที่ไหนและอย่างไร ทำให้ภูมิสารสนเทศกลายเป็นรากฐานสำคัญของการค้าอย่างยั่งยืน โปร่งใส และสอดคล้องตามกฎหมาย ดังที่ระบุไว้ในเอกสารคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ EUDR ของคณะกรรมาธิการยุโรป ข้อบังคับนี้มีเป้าหมายเพื่อลบผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าออกจากตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งตอกย้ำถึงความเร่งด่วนที่บริษัทต้องเร่งปรับใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับที่แข็งแกร่งและให้ความโปร่งใสตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ถึงโต๊ะอาหาร

ความสำคัญของข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ในการปฏิบัติตามข้อบังคับ EUDR
EUDR ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานภาคเกษตร โดยกำหนดให้ข้อมูลภูมิสารสนเทศเป็นข้อกำหนดบังคับสำหรับการเข้าถึงตลาดสหภาพยุโรป ภายใต้ข้อบังคับนี้ บริษัทต่าง ๆ ต้องแสดงหลักฐานที่ตรวจสอบได้ว่าผลิตภัณฑ์ของตนผลิตอย่างถูกกฎหมายและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า หลักฐานนี้ต้องอยู่ในรูปแบบของข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับ ที่สามารถเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นกับแปลงที่ดินที่ใช้เพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยว โดยธุรกิจจะต้องยื่นข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ตรวจสอบตามกระบวนการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence Statement) ซึ่งรวมถึงพิกัดภูมิศาสตร์ ส่งไปยังระบบสารสนเทศของสหภาพยุโรป (EU Information System) อย่างเป็นทางการ.
ข้อบังคับนี้ยังระบุวิธีการระบุตำแหน่งแปลงที่ดินด้วยพิกัดภูมิศาสตร์อย่างชัดเจน สำหรับแปลงที่ดินที่มีขนาดใหญ่กว่า 4 เฮกตาร์ (ยกเว้นการเลี้ยงวัว) ธุรกิจจะต้องจัดส่งพิกัดแบบรูปหลายเหลี่ยม (polygon) ที่มีความแม่นยำอย่างน้อย 6 ตำแหน่งทศนิยม เพื่อกำหนดขอบเขตของแปลงที่ดิน ส่วนแปลงที่ดินขนาดเล็กไม่เกิน 4 เฮกตาร์ หรือสถานประกอบการเลี้ยงวัว สามารถระบุตำแหน่งด้วยจุดพิกัดละติจูดและลองจิจูดเพียงจุดเดียวได้ วิธีการที่มีโครงสร้างนี้ช่วยส่งเสริมความสอดคล้องกันของข้อมูล ในขณะเดียวกันก็รองรับความแตกต่างเชิงปฏิบัติในเรื่องขนาดฟาร์มและประเภทสินค้าเกษตร
ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ถือเป็นรากฐานสำคัญของการปฏิบัติตามข้อบังคับ EUDR โดยไม่ได้เป็นเพียงข้อกำหนดเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังในการแสดงความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและความโปร่งใสขององค์กร ซึ่งมีความสำคัญในหลายมิติหลัก ได้แก่:
การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ช่วยให้ธุรกิจสามารถเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์โดยตรงกับพื้นที่เพาะปลูกหรือผลิตจริง ซึ่งเป็นข้อกำหนดหลักของ EUDR ข้อมูลนี้ช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตรวจสอบย้อนกลับสินค้าไปยังแหล่งกำเนิด และยืนยันได้ว่าแหล่งผลิตปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า
การตรวจสอบการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation Verification)
ด้วยข้อมูลตำแหน่งที่แม่นยำ บริษัทสามารถยืนยันได้ว่าโซ่อุปทานของตนไม่มีความเชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่าที่ผิดกฎหมายหรือเป็นอันตราย ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายของ EUDR ในการลดการตัดไม้ทำล่าป่าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่เข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป
คำแถลงการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence Statements)
ข้อบังคับกำหนดให้บริษัทต้องจัดส่งคำแถลงการตรวจสอบสถานะ (DDS) โดยต้องมีข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งของแหล่งผลิตที่ถูกต้อง ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์จึงมีความสำคัญต่อการสนับสนุนและตรวจสอบความถูกต้องของคำแถลงเหล่านี้
ความแม่นยำและรูปแบบของข้อมูล (Data Accuracy and Format)
EUDR กำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับความแม่นยำของข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ รวมถึงค่าพิกัดที่ต้องมีความละเอียดอย่างน้อย 6 ตำแหน่งทศนิยม และการใช้แผนที่รูปหลายเหลี่ยม (polygon) สำหรับแปลงที่ดินขนาดใหญ่ การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้รายงานมีความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับข้อบังคับ
การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
ข้อมูลพิกัดที่แม่นยำช่วยให้บริษัทสามารถประเมินและลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า เช่น การถูกลงโทษจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือการสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาด ได้อย่างทันท่วงที
ความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Transparency)
ข้อมูลพิกัดที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานโดยรวม สร้างความเชื่อมั่นให้กับหน่วยงานกำกับดูแล พันธมิตรทางธุรกิจ และผู้บริโภค
การผสานเข้ากับแนวทาง ESG (ESG Integration)
การใช้ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR ยังช่วยสนับสนุนพันธสัญญาของบริษัทในด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) เสริมสร้างความมุ่งมั่นต่อการจัดหาทรัพยากรอย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม
การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านพิกัดภูมิศาสตร์ของ EUDR ไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทสอดคล้องกับกฎระเบียบเท่านั้น แต่ยังสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ผ่านการแสดงถึงความโปร่งใส ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก
การใช้เครื่องมือภูมิสารสนเทศของ KOLTIVA เพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เข้มงวดของ EUDR Koltiva ได้ผสานรวมเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเข้ากับแพลตฟอร์มตรวจสอบย้อนกลับแบบครบวงจรอย่าง KoltiTrace MIS Land Use Tracker แพลตฟอร์มบนเว็บและมือถือระบบนี้ช่วยให้เกิดความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่แหล่งผลิตจนถึงผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย โดยการผสานแผนที่เชิงพื้นที่ การติดตามผ่านดาวเทียม และการบันทึกข้อมูลภาคสนามแบบเรียลไทม์ KoltiTrace ช่วยให้ภาคธุรกิจมองเห็นกิจกรรมในระดับฟาร์มได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบถึงแหล่งกำเนิด ติดตามการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อบังคับ และยืนยันการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนและกฎหมายได้อย่างมั่นใจ ผลลัพธ์คือโซลูชันที่สามารถปรับขนาดได้สำหรับการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส
Land Use Tracker V3 ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำคัญของแพลตฟอร์ม KoltiTrace MIS มาพร้อมกับความสามารถดังต่อไปนี้:
ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดปานกลาง (10 เมตร) สำหรับการติดตามการใช้ที่ดินอย่างต่อเนื่องและแม่นยำ
การเข้าถึงแผนที่โอเพ่นซอร์สหลากหลายประเภท รวมถึงแผนที่จาก Global Forest Watch (Tree Cover Loss), ศูนย์วิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรป (JRC) และเครือข่าย Science Based Target Network (SBTN) โดย Land Use Tracker V3 ยังมีเทคโนโลยีตรวจจับการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นภายในองค์กร พร้อมเครื่องมือตรวจสอบภาพถ่ายภาคพื้น (Desktop Verification) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยอัลกอริธึม Continuous Change Detection and Classification (CCDC) เพื่อแสดงกราฟิกประวัติการใช้ที่ดินในอดีต
การตรวจสอบพิกัดเชิงภูมิศาสตร์ของแปลงเกษตรเทียบกับพื้นที่อนุรักษ์หรือเขตจำกัดการใช้ที่ดิน โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลโลกของพื้นที่คุ้มครอง (World Database on Protected Areas: WDPA) และแผนที่ที่ได้รับการยืนยันจากรัฐบาลท้องถิ่น โดยเฉพาะในประเทศที่ Koltiva มีการดำเนินงานภาคสนาม เช่น อินโดนีเซีย ไทย เม็กซิโก เปรู บราซิล โคลอมเบีย เอกวาดอร์ กานา ฮอนดูรัส และโกตดิวัวร์
เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติภายในแพลตฟอร์ม KoltiTrace MIS ที่ช่วยลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลด้วยมือ และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดทำ Due Diligence Statements
สงสัยหรือไม่ว่า “ภูมิสารสนเทศ” กำลังพลิกโฉมห่วงโซ่อุปทานอย่างไร?
มาร่วมรับชม BeyondTraceability Talks ในหัวข้อ "Mapping Sustainability: การใช้ภูมิสารสนเทศเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบย้อนกลับได้" เวทีเสวนานำโดยผู้เชี่ยวชาญ ที่จะพาคุณเจาะลึกการใช้ข้อมูลตามพิกัดสถานที่ในการเร่งให้เกิดแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งตอบโจทย์ข้อกำหนดอย่างเช่น EUDR.
ร่วมรับฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ได้แก่:
David Gaveau – ผู้ก่อตั้งและ CEO, The TreeMap และ Nusantara Atlas
Carlos Riano – ผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้และการใช้ที่ดิน, สถาบันป่าไม้ยุโรป (European Forest Institute)
Patrick Houdry – หัวหน้าฝ่ายขายโซลูชันด้านเกษตรและป่าไม้, Airbus Geospatial and Secure Connectivity Solutions
Anne Rosenbarger – ผู้จัดการฝ่ายความร่วมมือระดับโลกด้านห่วงโซ่อุปทาน, สถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute)
Rene Colditz – เจ้าหน้าที่โครงการวิทยาศาสตร์, ศูนย์วิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรป (Joint Research Center)
Andre Mawardhi – ผู้จัดการอาวุโสด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อม, KOLTIVA
ดำเนินรายการโดยFanny Butler – หัวหน้าฝ่ายตลาดอาวุโสประจำภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA)

เซสชันนี้มอบข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าสำหรับบริษัทที่ต้องรับมือกับข้อกำหนดซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฝ่ายความยั่งยืน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือการจัดหา คุณจะได้รับเครื่องมือที่ช่วยให้คุณขับเคลื่อนการตรวจสอบย้อนกลับด้วยข้อมูลได้อย่างมั่นใจ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ และก้าวสู่ขั้นตอนต่อไปในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่พร้อมรับอนาคต
ผู้เขียน: กุศิ อายู ปุตรี จันดริกะ ซารี, เจ้าหน้าที่โซเชียลมีเดียแห่ง KOLTIVA
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน: ดิมาส เปอร์เชกา, หัวหน้าฝ่ายการสำรวจระยะไกลและภูมิอากาศแห่ง KOLTIVA และผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมธรณีเทคนิค
เกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญ:
ดิมาส เปอร์เชกา เป็นนักพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS Developer) ผู้มีความมุ่งมั่น พร้อมด้วยวุฒิปริญญาโทด้านวิศวกรรม ปัจจุบันเขากำลังมีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมภูมิสารสนเทศที่ Koltiva เขามีความเชี่ยวชาญลึกซึ้งในด้านการจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ การสำรวจระยะไกล การวิเคราะห์ภาพจากดาวเทียม และการติดตามการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ดิมาสเชี่ยวชาญในการพัฒนาฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่สามารถขยายได้ และการพัฒนาแอปพลิเคชัน GIS บนเว็บ ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในด้านการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ เขาสนับสนุนโครงการความร่วมมือหลากหลายฝ่ายที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนและระบบการตรวจสอบย้อนกลับทางดิจิทัล ด้วยความสามารถในการปรับตัวและแนวคิดที่เปิดกว้างในการทำงานร่วมกัน ดิมาสสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความแม่นยำ นวัตกรรม และผลกระทบที่ชัดเจน
ทรัพยากร:
Gabriel, A., & Gandorfer, M. (2023). Adoption of satellite-derived maps in agriculture: A case study in southern Germany. Precision Agriculture, 24(2), Article 99. https://doi.org/10.1007/s11119-022-09931-1
European Union. (2023). Regulation (EU) 2023/1115 of the European Parliament and of the Council on deforestation-free products. Official Journal of the European Union. Retrieved May 23, 2025, from https://eur-lex.europa.eu/eli/reg/2023/1115/oj
Bolfe, É. L., Jorge, L. A. d. C., Sanches, I. D., Luchiari Júnior, A., da Costa, C. C., Victoria, D. d. C., Inamasu, R. Y., Grego, C. R., Ferreira, V. R., & Ramirez, A. R. (2020). Precision and Digital Agriculture: Adoption of Technologies and Perception of Brazilian Farmers. Agriculture, 10(12), 653. https://doi.org/10.3390/agriculture10120653
ความคิดเห็น