top of page

น้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน: ความย้อนแย้งระหว่างชุมชนกับสิ่งแวดล้อม Sustainable Palm Oil

บทสรุปผู้บริหาร

  • น้ำมันปาล์มยังคงเป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจสำคัญของเกษตรกรรายย่อยนับล้านคน แต่ในขณะเดียวกันก็เผชิญกับแรงกดดันและการตรวจสอบจากทั่วโลกมากขึ้น เนื่องจากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนแรงงาน อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มกำลังยืนอยู่บนทางแยกระหว่าง “การอยู่รอดทางเศรษฐกิจ” กับ “ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม”


  • ท่ามกลางกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น กฎหมายว่าด้วยการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ความจำเป็นเร่งด่วนคือการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างเต็มรูปแบบ และปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า แม้ว่าจะมีใบรับรองอย่าง RSPO, ISCC, ISPO และ Rainforest Alliance แต่เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากยังคงประสบปัญหาในการปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวดเหล่านี้หากไม่ได้รับการสนับสนุน


  • โซลูชันดิจิทัลนวัตกรรมของ Koltiva จึงเข้ามาช่วยให้ทั้งภาคธุรกิจและเกษตรกรรายย่อยสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ ด้วยเครื่องมือการตรวจสอบย้อนกลับขั้นสูง การทำแผนที่ภูมิศาสตร์ การติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเตรียมความพร้อมสำหรับการรับรอง Koltiva จึงช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์มที่โปร่งใส ยั่งยืน และครอบคลุม สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลก


ณ หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งในอินโดนีเซีย เกษตรกรรายย่อยกำลังดูแลสวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของครอบครัวและชุมชน ภาพเช่นนี้สามารถพบเห็นได้ในอีกนับพันชุมชนทั่วประเทศอินโดนีเซีย ที่ซึ่งน้ำมันปาล์มกลายเป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจสำคัญ โดยน้ำมันปาล์มถูกนำเข้ามาในภูมิภาคนี้โดยมหาอำนาจอาณานิคมตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 (Gapki, 2020, Dialogue Earth, 2021) และเติบโตขึ้นเป็นพลังทางเศรษฐกิจสำคัญ ปัจจุบันน้ำมันปาล์มมีส่วนช่วย 9% ถึง 17% ของ GDP อินโดนีเซีย และจ้างงานกว่า 8 ล้านคน คิดเป็น 3.5% ของแรงงานทั้งประเทศ (G20, n.d.)


สารบัญ (Table of Index)


อย่างไรก็ตาม แม้น้ำมันปาล์มจะนำมาซึ่งความรุ่งเรืองแก่คนจำนวนมาก แต่มันก็เป็นประเด็นถกเถียงร้อนแรง สำหรับผู้ผลิต น้ำมันปาล์มหมายถึงอาหาร การศึกษาให้ลูกหลาน และหนทางพ้นจากความยากจน โดยสามารถยกระดับชีวิตชาวอินโดนีเซียกว่า 2.6 ล้านคน และช่วยเหลือครัวเรือนเกษตรกรรายย่อยกว่า 4 ล้านครัวเรือน (G20, n.d.) แต่สำหรับนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนักสิทธิมนุษยชน น้ำมันปาล์มกลับเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายป่าและถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า


เมื่อเราต้องเดินหน้าท่ามกลางความซับซ้อนของบทบาทน้ำมันปาล์มในตลาดโลก คำถามสำคัญยังคงอยู่: เราจะสามารถหาจุดสมดุลระหว่าง “ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” กับ “ความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม” ได้อย่างไร?



รากแก้วของน้ำมันปาล์ม: เส้นเลือดเศรษฐกิจและสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก Sustainable Palm Oil

ต้นปาล์มน้ำมัน (Elaeis guineensis) มีถิ่นกำเนิดจากแอฟริกาตะวันตกและถูกนำมาใช้ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นักธุรกิจชาวตะวันตกเล็งเห็นศักยภาพทางเศรษฐกิจของปาล์มน้ำมัน จึงขยายการเพาะปลูกไปยังทวีปอเมริกาใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดิมทีปาล์มน้ำมันถูกนำเข้ามาในอินโดนีเซียเพื่อปลูกประดับในสวนพฤกษศาสตร์ แต่ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก็เริ่มเห็นคุณค่าทางเศรษฐกิจ จนนำไปสู่การขยายพื้นที่เพาะปลูกเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเกาะสุมาตราและบอร์เนียว แม้มาเลเซียจะเคยเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่อินโดนีเซียได้แซงขึ้นเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่ปี 2006 และยังคงครองตำแหน่งผู้นำการผลิตจนถึงปัจจุบัน (Michigan State University, n.d.)


Beyond Traceability Talks Session 1 - Koltiva.com

เมื่อการผลิตน้ำมันปาล์มขยายตัวอย่างรวดเร็ว การใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตสมัยใหม่ น้ำมันปาล์มถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์อเนกประสงค์ที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน รายงานระบุว่า 68% ของน้ำมันปาล์มถูกใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น มาการีน ช็อกโกแลต และน้ำมันประกอบอาหาร, 27% ใช้ในสินค้าอุตสาหกรรม เช่น สบู่และเครื่องสำอาง และอีก 5% ใช้ในพลังงานชีวภาพสำหรับการขนส่งและการผลิตไฟฟ้า (Our World in Data, 2021)


ทางสองแพร่งของน้ำมันปาล์ม: ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และความท้าทายด้านแรงงาน

Smallholder farmers harvesting palm oil fruit in a sustainable plantation, highlighting the balance between livelihoods, environmental conservation, and supply chain traceability.

น้ำมันปาล์มถือเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีข้อถกเถียงมากที่สุดในโลก เนื่องจากมีบทบาทสำคัญต่อปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแหล่งรวมของระบบนิเวศที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก การขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการตัดป่าในวงกว้าง นำไปสู่การทำลายถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า และการปล่อยคาร์บอนจำนวนมากจากชีวมวลและดินในป่าออกสู่ชั้นบรรยากาศ ป่าถือเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนสำคัญ การทำลายป่าจึงเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาล เพิ่มความรุนแรงให้กับปัญหาโลกร้อน


ตามรายงานของ Earth ต้นปาล์มน้ำมันมีอายุการใช้งานราว 28-30 ปี หลังจากนั้นจะสูงเกินไปสำหรับการเก็บเกี่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ จึงถูกโค่นและปลูกใหม่ วัฏจักรนี้จึงนำไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่ามีป่าถูกทำลายเทียบเท่ากับสนามฟุตบอลมากถึง 300 สนามในทุกๆ ชั่วโมง เพื่อขยายพื้นที่ปลูกปาล์ม (Earth, 2023)


นอกจากนี้ พื้นที่พรุ (peatlands) ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ ก็มักถูกระบายน้ำและเผาเพื่อเปิดทางให้กับสวนปาล์ม ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายล้านตัน และเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Earth, 2023) ผลการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนพื้นที่ป่าพรุในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นสวนปาล์มน้ำมัน มีสัดส่วนคิดเป็น 0.8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ซึ่งเกือบเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบิน (ZSL, n.d.)



รื่องนี้ยังสร้างความท้าทายอย่างมากต่อแนวทางการทำเกษตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปลูกปาล์มน้ำมัน หนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดคืออุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลผลิตของปาล์มน้ำมัน งานวิจัยชี้ว่าแม้อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ผลผลิตพืชลดลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับประเทศอย่างอินโดนีเซียที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการปลูกปาล์มในปัจจุบัน การลดลงของผลผลิตถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะกระทบต่อปริมาณน้ำมันปาล์มทั่วโลกแล้ว ยังส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจของชุมชนที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมนี้ในการดำรงชีพ (BMC, 2021 & NCBI, 2017)


นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นแล้ว รูปแบบฝนที่เปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังสร้างสภาพอากาศที่ยากต่อการคาดการณ์ ภัยแล้งและฝนตกหนัก — ทั้งสองสุดขั้วนี้ — ล้วนสร้างความเครียดให้ต้นปาล์มน้ำมัน ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการออกผล ในช่วงที่ฝนลดลง ปัญหาการขาดแคลนน้ำจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความสามารถในการออกผลของต้นปาล์ม ในทางตรงกันข้าม ฝนที่มากเกินไปสามารถทำให้เกิดน้ำท่วม ส่งผลให้พืชเสียหายและรบกวนวงจรการผลิต ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศที่เพิ่มขึ้นนี้ กำลังคุกคามความยั่งยืนระยะยาวของการทำสวนปาล์มน้ำมัน และสร้างความไม่มั่นคงให้กับเกษตรกรผู้ผลิต (BMC, 2021 & NCBI, 2017)


ความท้าทายยังไม่หมดแค่นั้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงยังสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมยิ่งขึ้นสำหรับการระบาดของศัตรูพืชและโรคพืช การเพิ่มขึ้นของศัตรูพืชไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพของต้นปาล์มเท่านั้น แต่ยังทำให้เกษตรกรต้องพึ่งพาสารเคมีและยาฆ่าแมลงมากขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ความพยายามด้านความยั่งยืนซับซ้อนยิ่งขึ้น การใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นยังส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นการสร้างวงจรการทำลายระบบนิเวศที่คุกคามอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ (BMC, 2021 & NCBI, 2017)


ผลกระทบจากการผลิตน้ำมันปาล์มไม่ได้หยุดแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปสู่ปัญหาสังคมร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อแรงงานที่เปราะบางที่สุด ในหลายพื้นที่เพาะปลูก มีปัญหาการเอาเปรียบแรงงานอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะแรงงานหญิงซึ่งต้องเผชิญกับค่าจ้างต่ำมาก ชั่วโมงทำงานยาวนาน และงานที่ไม่มั่นคง ไม่มีสิทธิประกันสังคมหรือสวัสดิการใดๆ เด็กบางคนซึ่งมีอายุต่ำเพียง 8 ปี ก็ถูกดึงเข้ามาทำงานหนักที่เป็นอันตราย ต้องสละการศึกษาและสุขภาพเพื่อช่วยเหลือครอบครัว การใช้สารเคมีอันตรายโดยขาดอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมยังทำให้สุขภาพของแรงงานเหล่านี้ตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น สะท้อนถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ฝังรากลึกซึ่งดำรงอยู่ควบคู่กับปัญหาสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมนี้ (Amnesty, n.d.)


เราจะหยุดใช้น้ำมันปาล์มได้หรือไม่? ข้อเสนอว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน

Sustainable Palm Oil- Koltiva.com

อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด น้ำมันปาล์มถือเป็นพืชน้ำมันที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดชนิดหนึ่ง ให้ผลผลิตน้ำมันต่อพื้นที่สูงกว่าพืชน้ำมันชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ ยังเป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจสำคัญสำหรับผู้คนนับล้าน โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อมูลระบุว่าในอินโดนีเซียเพียงประเทศเดียว อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มรองรับแรงงานกว่า 21 ล้านคน รวมถึงเกษตรกรรายย่อยที่ต้องพึ่งพาการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อเลี้ยงชีพ นั่นทำให้น้ำมันปาล์มไม่ใช่แค่สินค้าโภคภัณฑ์ แต่ยังเป็นเส้นทางสำคัญในการสร้างรายได้และความอยู่รอดของทั้งชุมชน อุตสาหกรรมนี้ยังสร้างงานตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป ไปจนถึงการส่งออก มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและสังคม


การหยุดผลิตน้ำมันปาล์มหรือจำกัดการผลิตอย่างรุนแรง จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะต่อประชากรในชนบทที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมนี้ อาจนำไปสู่การว่างงานเป็นวงกว้าง ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ และความยากจนที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเหล่านี้ ความเป็นจริงที่ซับซ้อนนี้ชี้ให้เห็นว่าจำเป็นต้องมีแนวทางที่สมดุล แทนที่จะหยุดการผลิตน้ำมันปาล์มโดยสิ้นเชิง ควรมุ่งเน้นไปที่การทำให้อุตสาหกรรมนี้ยั่งยืนมากขึ้น ปรับปรุงสภาพแรงงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด


ความท้าทายจึงไม่ใช่แค่การหยุดการผลิต แต่คือการ “เปลี่ยนผ่าน” ไปสู่แนวทางการผลิตที่มีความรับผิดชอบและยั่งยืนมากขึ้น ลดผลกระทบด้านลบ และยังคงรักษาประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนที่พึ่งพิงอุตสาหกรรมนี้ได้ ด้วยการนำแนวทางการผลิตอย่างยั่งยืนมาใช้ อุตสาหกรรมนี้จะสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็ปกป้องความเป็นอยู่ของผู้คนนับล้านที่ต้องพึ่งพาน้ำมันปาล์มเพื่อความอยู่รอดต่อไปได้.


เส้นทางสู่การผลิตน้ำมันปาล์มอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืน

หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการนำระบบการรับรองมาตรฐาน (Certification Programs) มาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม โปรแกรมเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันปาล์มถูกผลิตในรูปแบบที่ปกป้องระบบนิเวศ เคารพสิทธิมนุษยชน และสนับสนุนการดำรงชีวิตของเกษตรกรรายย่อย ส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานที่สมดุลและมีจริยธรรมมากขึ้น


ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านการรับรอง: ปลดล็อกศักยภาพน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน

การรับรองน้ำมันปาล์มมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนตลอดกระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม ปัจจุบันมีโครงการรับรองหลายโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับและส่งเสริมการปฏิบัติอย่างมีความรับผิดชอบในอุตสาหกรรม ได้แก่:


  • RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil)

    โครงการความร่วมมือระดับโลกที่ส่งเสริมการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน โดยกำหนดให้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม การรับรอง RSPO ส่งเสริมแนวทาง เช่น การอนุรักษ์ดินและน้ำ การลดการใช้สารเคมี และการจัดการของเสียอย่างเหมาะสม เพื่อลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า งานวิจัยหลายชิ้นยังระบุว่าการได้รับการรับรอง RSPO สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตของเกษตรกรรายย่อยได้ด้วย อย่างไรก็ตาม RSPO ยังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ช่องว่างความรู้ด้านเทคนิคของเกษตรกรรายย่อยที่มักขาดทักษะและความรู้ที่เพียงพอในการปฏิบัติตามมาตรฐาน อีกทั้งต้นทุนและความยุ่งยากของกระบวนการรับรองยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายผล โดยเฉพาะกับผู้ผลิตรายเล็ก


  • RA (Rainforest Alliance)

    การรับรองนี้เน้นการปกป้องระบบนิเวศและสิทธิแรงงาน โดยมุ่งเน้นการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า รักษาทางเดินของสัตว์ป่า และคุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อม RA ยังให้ความสำคัญกับสิทธิแรงงาน เช่น การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานเด็ก สภาพการทำงานที่ปลอดภัย และส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนชนบทอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การขยายผลยังคงมีข้อจำกัด ต้นทุนการรับรองสูงเกินเอื้อมสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อีกทั้งมาตรฐานที่เข้มงวดของ RA ยังต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับเกษตรกรรายย่อย


  • ISCC (International Sustainability and Carbon Certification)

    การรับรองนี้มุ่งเน้นการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นหนักไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการผลิตวัตถุดิบอย่างยั่งยืน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการคุ้มครองสิทธิแรงงานและสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานปลอดการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งช่วยยกระดับชีวิตของผู้ผลิตได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับใบรับรองอื่นๆ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เข้มงวดของ ISCC ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางและโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ทำให้เกษตรกรรายย่อยหรือผู้ผลิตที่มีทรัพยากรจำกัดประสบปัญหาในการเข้าถึงการรับรอง


  • ISPO (Indonesian Sustainable Palm Oil)

    ISPO เป็นการรับรองของรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งบังคับใช้กับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มทุกแห่งในประเทศ มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม โดยกำหนดให้ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดของประเทศอย่างเคร่งครัด ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ เช่น การใช้ที่ดินอย่างรับผิดชอบ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการคุ้มครองแรงงาน จุดเด่นสำคัญของ ISPO คือการส่งเสริมและยกระดับเกษตรกรรายย่อย ผ่านการฝึกอบรมและการเข้าถึงตลาดที่ดีขึ้น เพื่อกระจายผลประโยชน์จากน้ำมันปาล์มอย่างเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม แม้ ISPO จะเป็นข้อบังคับ แต่เกษตรกรรายย่อยยังมีอัตราการเข้าร่วมต่ำ เนื่องจากปัญหาต้นทุนสูง กระบวนการรับรองที่ซับซ้อน และขาดแคลนทรัพยากรและความรู้ด้านเทคนิค ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากยังไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานได้อย่างเต็มที่


การปฏิบัติตามข้อกำหนด EUDR: ยกระดับห่วงโซ่อุปทานปลอดการตัดไม้ทำลายป่า


กฎระเบียบการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (European Union Deforestation Regulation – EUDR) ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า เช่น น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ และสินค้าอื่นๆ เข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป กฎระเบียบนี้มีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นสินค้าที่ก่อให้เกิดการเสื่อมโทรมของป่าไม้ โดยกำหนดให้บริษัทต้องแสดงหลักฐานว่าห่วงโซ่อุปทานของตนปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า


การรับรอง เช่น RSPO และ ISCC ที่เน้นแนวปฏิบัติการผลิตอย่างยั่งยืนและการตรวจสอบย้อนกลับ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติตาม EUDR โดยช่วยยืนยันว่าการผลิตน้ำมันปาล์มปลอดการตัดไม้ทำลายป่า อย่างไรก็ตาม การรับรองเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการปฏิบัติตามข้อกำหนด EUDR


ภายใต้ EUDR บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องดำเนินการมากกว่าการมีใบรับรอง โดยต้องดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียด (Due Diligence) ซึ่งรวมถึงการเก็บข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ (Geolocation Data) การประเมินความเสี่ยงต่อการตัดไม้ทำลายป่า และการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต บริษัทต้องแสดงหลักฐานว่าผลิตภัณฑ์ของตนถูกผลิตอย่างถูกกฎหมายและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า พร้อมแนบคำแถลงการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence Statement) กฎระเบียบนี้มีเป้าหมายเพื่อลดบทบาทของสหภาพยุโรปต่อปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าโลก พร้อมทั้งส่งเสริมแนวทางการเกษตรอย่างยั่งยืนในประเทศผู้ผลิต


อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบนี้ยังสร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย ที่อาจขาดทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานในการปฏิบัติตามข้อกำหนดอันเข้มงวดนี้ เกษตรกรรายย่อยซึ่งมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม อาจเผชิญความยากลำบากในการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ซับซ้อน ส่งผลให้เสี่ยงต่อการถูกตัดออกจากตลาดโลก ดังนั้น เพื่อให้ความยั่งยืนครอบคลุมทุกกลุ่ม จำเป็นต้องพัฒนาวิธีการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานความยั่งยืนได้ โดยไม่กระทบต่อรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ซึ่งรวมถึงการให้สิทธิ์เข้าถึงเครื่องมือดิจิทัล การสนับสนุนทางการเงิน และโครงการพัฒนาศักยภาพ ที่ช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถปฏิบัติตามทั้งมาตรฐานการรับรองและข้อกำหนด EUDR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โซลูชันดิจิทัลของ Koltiva: ขับเคลื่อนการตรวจสอบย้อนกลับและความยั่งยืน


เราให้บริการโซลูชันเพื่อช่วยให้ธุรกิจและเกษตรกรรายย่อยสามารถก้าวข้ามความท้าทายในการปฏิบัติตามมาตรฐานความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มตรวจสอบย้อนกลับดิจิทัลของเรา ช่วยให้ห่วงโซ่อุปทานโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับการรับรอง เช่น RSPO, ISPO และ EUDR อย่างครบถ้วน

EUDR- Koltiva.com

ผ่านระบบ KoltiTrace MIS เรานำเสนอความสามารถในการติดตามข้อมูลห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร โดยเจ้าหน้าที่ภาคสนามจะใช้แอปพลิเคชัน KoltiTrace MIS Mobile เพื่อเก็บรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่ ขณะที่โรงงานแปรรูปและผู้ผลิตจะบริหารจัดการข้อมูลและติดตามความสอดคล้องผ่านแพลตฟอร์ม KoltiTrace MIS บนเว็บไซต์ ระบบนี้ช่วยลดความยุ่งยากของกระบวนการรับรอง แก้ไขช่องว่างด้านความรู้ทางเทคนิค และลดต้นทุน ทำให้แนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น


ฟีเจอร์ขั้นสูงสำหรับห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบได้

ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดความซับซ้อน และช่วยให้ธุรกิจและเกษตรกรรายย่อยสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างราบรื่น


  1. ฟีเจอร์แผนที่การตัดไม้ทำลายป่า & การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions)

    หนึ่งในความท้าทายสำคัญคือความจำเป็นในการติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แพลตฟอร์มของเราสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use Change - LUC) และการปล่อยก๊าซในระดับโลก โดยให้ข้อมูลการปล่อยคาร์บอน (CO₂, N₂O, CH₄) จากการตัดป่าถึงพืชไร่ถาวร พร้อมคำนวณปริมาณการปล่อยเป็นหน่วยตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) เพื่อช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามมาตรฐานอย่าง RSPO และ ISCC พร้อมลดช่องว่างความรู้ด้านการติดตามการปล่อยก๊าซ


  2. ฟีเจอร์ระบุตำแหน่งและแผนที่ (Geo Location & Mapping Features)

    การบริหารจัดการฟาร์มและการตรวจสอบย้อนกลับมักเป็นเรื่องซับซ้อน โดยเฉพาะสำหรับเกษตรกรรายย่อย ระบบบริหารจัดการข้อมูลของเรามีฟีเจอร์แผนที่แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ตัดสินใจจากข้อมูลได้อย่างแม่นยำ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ฟีเจอร์นี้ช่วยลดความซับซ้อนของการปฏิบัติตามมาตรฐาน ทำให้การบริหารฟาร์มโปร่งใสและจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น แม้สำหรับผู้ผลิตรายย่อย


  3. ฟีเจอร์การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิต (Producer Supply Chain Management)

    การตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้ค้าปลีก เป็นความท้าทายใหญ่สำหรับธุรกิจ เราจึงออกแบบแดชบอร์ด KPI เฉพาะที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ครบถ้วน สอดคล้องกับข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลและนโยบายความเป็นส่วนตัว ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจข้อมูลได้ชัดเจน ลดความยุ่งยากของการตรวจสอบย้อนกลับ และสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้


  4. ฟีเจอร์บริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งผลิต (Sourcing Origin GHG Management)

    การติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการกักเก็บคาร์บอนในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่มูลค่ามีความสำคัญต่อการปฏิบัติตามข้อกำหนดความยั่งยืน แพลตฟอร์มของเราผสานข้อมูลสำคัญระดับโลก เช่น วิธีการเกษตร สภาพภูมิอากาศ และสุขภาพดิน เพื่อช่วยธุรกิจและเกษตรกรลดคาร์บอนฟุตพรินต์ ฟีเจอร์นี้ช่วยลดต้นทุนและอุดช่องว่างความรู้ในการปฏิบัติตามมาตรฐาน โดยให้ข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนและนำไปใช้ได้จริงเกี่ยวกับการบริหารก๊าซเรือนกระจก


  5. ฟีเจอร์ตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ถึงโต๊ะอาหาร (Traceability from Seed to Table)

    การสร้างความโปร่งใสตลอดกระบวนการผลิตเป็นความท้าทายสำคัญของธุรกิจที่ต้องการปฏิบัติตามมาตรฐาน แพลตฟอร์มของเรานำเสนอการตรวจสอบย้อนกลับอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ข้อมูลการเพาะปลูก โปรไฟล์ผู้ผลิต ไปจนถึงธุรกรรมดิจิทัลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ช่วยให้ธุรกิจและเกษตรกรรายย่อยปฏิบัติตามข้อกำหนดความยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค และสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล


บริการเสริมภาคสนามจากทีมผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการเกษตร (Extension Services with Field-Expert and Agronomist Team)

นอกเหนือจากโซลูชันการตรวจสอบย้อนกลับ KoltiTrace MIS เรายังมีบริการเสริมผ่านทีมผู้เชี่ยวชาญภาคสนามและนักวิชาการเกษตร KoltiSkills เพื่อช่วยเกษตรกรรายย่อยในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มให้สามารถผ่านการรับรองและปฏิบัติตามข้อกำหนด EUDR ได้ ผ่าน 4 บริการสำคัญ ได้แก่:


  1. การทำแผนที่และการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Mapping & Verification)

    เราทำแผนที่แหล่งผลิตสินค้าและตรวจสอบวิธีปฏิบัติของฟาร์มให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านความยั่งยืนที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เช่น EUDR


  2. การฝึกอบรมและโค้ชชิ่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน (Training & Coaching for Supply Chains Actors)

    เราจัดการฝึกอบรมแบบกลุ่มและโค้ชชิ่งแบบรายบุคคล เพื่อช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถปรับใช้แนวปฏิบัติที่ยั่งยืนและปฏิบัติตามมาตรฐานได้


  3. สนับสนุนธุรกิจเกษตรกรรายย่อย (Business Support)

    เรายกระดับศักยภาพธุรกิจของเกษตรกรรายย่อย โดยเชื่อมโยงกับสหกรณ์ บริการทางการเงิน และผู้มีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่น


  4. การเตรียมความพร้อมเพื่อการรับรอง (Certification Preparation)

    เรานำทางเกษตรกรรายย่อยตลอดกระบวนการขอการรับรองระดับสากล เช่น RSPO และ Rainforest Alliance เพื่อให้ปฏิบัติตามเกณฑ์ความยั่งยืนได้สำเร็จ


ด้วยแพลตฟอร์มของเรา ธุรกิจสามารถแสดงความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนได้อย่างมั่นใจ ปฏิบัติตามข้อกำหนดล่าสุด และรักษาตำแหน่งในตลาดโลกได้อย่างมั่นคง


ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการควบคุมห่วงโซ่อุปทานของคุณ ให้มั่นใจว่าปฏิบัติตามมาตรฐานความยั่งยืน และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่ออนาคตของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม


อย่ารอช้า—ลงมือทันที! ติดต่อเราเพื่อเป็นผู้นำด้านการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างมีความรับผิดชอบ และรักษาความได้เปรียบในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา




Writer: Kumara Anggita, Content Writer at KOLTIVA

Editor: Boby Hermawan Arifin, Head of Digital Marketing at KOLTIVA


About Writer:

Kumara Anggita, serving as Koltiva's dedicated Content Writer, brings a wealth of experience from her six-year tenure in journalism in the fields of humanities and lifestyle, as well as her role as a writer in the tech industry. Her deep-rooted passion for gender equality and sustainability spurred her to enhance her reporting and storytelling skills through the EmPower Media Bootcamp by UN Women. Now, Kumara utilizes her platform to advocate for sustainable practices and gender equality through her compelling writing.

 

 

 

Resources:

  • GAPKI. (2020). The recent development of the Indonesian palm oil industry. GAPKI.

  • Dialogue Earth. (n.d.). Illustrated history of industrial palm oil. Dialogue Earth.

  • Indonesia Palm Oil Facts. (n.d.). Palm oil facts for G20. Indonesia Palm Oil Facts.

  • How palm oil contributes to environmental destruction. Earth.org.

  • Zoological Society of London (ZSL). (2023). Palm oil and climate change. ZSL.

  • CABI Agriculture and Bioscience. (2021). Palm oil sustainability: Environmental, social, and economic implications. CABI Agriculture and Bioscience.

  • National Center for Biotechnology Information (NCBI). (2018). Palm oil and health impacts: A review. NCBI.

  • Amnesty International. (2016). Global brands profiting from child and forced labor in palm oil. Amnesty International.

  • Koltiva. (2023). Ensuring sustainability and transparency in Indonesia’s palm oil supply chain. Koltiva.

  • World Wildlife Fund (WWF). (2024). Measuring implication of RSPO certification implementation. WWF.

  • World Wildlife Fund (WWF). (2023). Measuring implications of implementing RSPO certification

  • Rainforest Alliance. (n.d.). How Rainforest Alliance certification benefits your farm. Rainforest Alliance.

  • Preferred by Nature. (n.d.). Rainforest Alliance certification. Preferred by Nature.

  • International Sustainability and Carbon Certification (ISCC). (n.d.). ISCC impact report. ISCC System.

  • Qualitas Sertifikasi. (n.d.). ISCC certification: What you need to know. Qualitas Sertifikasi.

  • Sucofindo. (n.d.). The importance of ISPO certification in the palm oil industry. Sucofindo.

  • European Forest Institute. (n.d.). Overview of ISPO certification for smallholders. European Forest Institute.



댓글


bottom of page