

20 ชั่วโมงที่ผ่านมายาว 2 นาที
หมายเหตุจากบรรณาธิการ
เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่บริษัทต่าง ๆ จัดการความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการให้ข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันแบบเรียลไทม์ เพื่อติดตามการใช้ประโยชน์ที่ดินและตรวจจับความเสี่ยงจากการตัดไม้ทำลายป่า ในบทสัมภาษณ์นี้ Dimas Perceka หัวหน้าฝ่ายรีโมทเซนซิ่งและภูมิอากาศของเรา ใช้ความเชี่ยวชาญด้านภูมิสารสนเทศในการอธิบายข้อกำหนดของ EUDR และนำเสนอวิธีที่โซลูชันนวัตกรรมของเรา โดยเฉพาะ Land Use Tracker (LUT) ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับข้อบังคับที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างมั่นใจ เราเชื่อว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนดไม่ใช่แค่ภาระหน้าที่ แต่คือโอกาสเชิงกลยุทธ์เพื่อความยืดหยุ่นในระยะยาวและผลกระทบเชิงบวกอย่างแท้จริง
ข้อบังคับว่าด้วยการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) กำลังเปลี่ยนข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์จากสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มให้กลายเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายในเวทีการค้าระหว่างประเทศ บริษัทที่ต้องการเข้าสู่ตลาดหรือรักษาสถานะในตลาดสหภาพยุโรป จะต้องพิสูจน์ว่าสินค้าของตนผลิตอย่างถูกกฎหมายและปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า—ซึ่งต้องได้รับการยืนยันผ่านข้อมูลพิกัดแปลงเกษตรที่แม่นยำ หากสินค้านั้นปลูกบนที่ดินที่ถูกตัดไม้หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020 หรือขาดความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ จะถือว่าไม่เป็นไปตามข้อกำหนด และไม่สามารถวางจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรปได้ นอกจากนี้ สินค้าที่เป็นไปตามข้อกำหนดจะต้องถูกจัดเก็บแยกจากสินค้าที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
การตรวจสอบย้อนกลับถึงแปลงเกษตรเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันว่าไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเกิดขึ้นในพื้นที่ผลิต ตามข้อกำหนดของ EUDR ผู้ประกอบการต้องเก็บรวบรวมและส่งพิกัดภูมิศาสตร์ของพื้นที่ผลิตทั้งหมดในคำแถลงการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence Statement) ข้อมูลเหล่านี้จะต้องถูกอัปโหลดเข้าสู่ระบบสารสนเทศกลางของ EU เพื่อการตรวจสอบ
KoltiTrace MIS นำเสนอระบบภูมิสารสนเทศที่ผ่านการใช้งานจริงในพื้นที่เพื่อรองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR แพลตฟอร์มนี้ผสานการเก็บข้อมูลภาคสนามแบบเรียลไทม์ ภาพถ่ายดาวเทียม และเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติเข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการตรวจสอบการใช้ที่ดิน การตรวจสอบแหล่งที่มา และการรายงานต่อหน่วยงานรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีเลเยอร์แผนที่ทั่วโลกและการซ้อนทับพื้นที่คุ้มครอง เพื่อให้มั่นใจถึงความสอดคลังในพื้นที่จัดหาวัตถุดิบที่มีความซับซ้อน
ลองจินตนาการว่าคุณสามารถระบุแปลงที่ดินที่ปลูกกาแฟ โกโก้ หรือยางพาราได้อย่างแม่นยำถึงระดับพิกัด GPS — นี่คือระดับรายละเอียดที่ข้อบังคับของสหภาพยุโรปว่าด้วยการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) กำหนดไว้ ข้อบังคับนี้ระบุให้บริษัทต่าง ๆ ต้องแสดงข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนของพื้นที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเกิดขึ้นหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020 ในบริบทกฎหมายใหม่นี้ ข้อมูลภูมิสารสนเทศได้เปลี่ยนบทบาทจากเครื่องมือเฉพาะทางในภาคเกษตรกรรม มาเป็นรากฐานสำคัญของการค้าที่ยั่งยืน
เพื่อให้สอดคล้องกับ EUDR ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องพิสูจน์ว่าสินค้าของตนปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าและมีแหล่งที่มาถูกกฎหมาย ธุรกิจจำเป็นต้องเก็บรวบรวมและรายงานข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ที่แม่นยำของทุกแปลงที่ใช้ปลูกสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ เช่น น้ำมันปาล์ม โกโก้ ยางพารา กาแฟ ถั่วเหลือง และไม้ ทำไมจึงสำคัญขนาดนี้? เพราะความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับเริ่มต้นที่ “สถานที่” หากไม่มีข้อมูลในระดับแปลง เช่น พิกัด GPS และแผนที่ขอบเขตพื้นที่ (polygon) สำหรับพื้นที่เกินกว่า 4 เฮกตาร์ บริษัทจะไม่สามารถพิสูจน์ความสอดคล้องกับข้อบังคับ ประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม หรือยืนยันแหล่งที่มาที่แท้จริงของสินค้าได้
แม้จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศก็ยังคงถูกใช้งานในภาคเกษตรกรรมในระดับที่ต่ำ จากการศึกษาปี 2022 ในแคว้นทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี พบว่าเกษตรกรเพียง 14% เท่านั้นที่ใช้แผนที่จากภาพถ่ายดาวเทียมในการทำไร่ของตน (Gabriel, A., Gandorfer, M., 2023) ในบราซิล แม้ว่า 84% ของเกษตรกรจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างน้อยหนึ่งอย่างในระบบการผลิตของตน แต่มีเพียง 20.4% เท่านั้นที่ใช้ GPS และเพียง 5.4% ที่ใช้แผนที่ดิจิทัล (Bolfe et al., 2020)
สารบัญ:
ในอดีต การใช้ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ (Geolocation) มักจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้นำด้านความยั่งยืน เช่น Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO), Rainforest Alliance และ Fair Trade เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและเสริมความน่าเชื่อถือของการรับรองมาตรฐานต่างๆ แต่เมื่อข้อบังคับ EUDR จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 30 ธันวาคม 2025 การยืนยันด้วยข้อมูลภูมิสารสนเทศจะไม่ใช่เรื่องทางเลือกอีกต่อไป ความท้าทายในตอนนี้อยู่ที่ “การนำไปใช้จริง” ธุรกิจต้องเผชิญกับความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล ความรู้ของซัพพลายเออร์ที่ยังไม่เพียงพอ และอุปสรรคด้านการสื่อสาร
ข้อมูลภูมิสารสนเทศมีบทบาทสำคัญต่อระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยให้ข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับตำแหน่งของพื้นที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ช่วยให้บริษัทสามารถยืนยันแหล่งที่มาของสินค้า และมั่นใจได้ว่าสินค้าเหล่านั้นไม่มีความเชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่าหรือการใช้ที่ดินอย่างผิดกฎหมาย
ด้วยการบังคับใช้ข้อบังคับของสหภาพยุโรปว่าด้วยการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) การใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศกลายเป็นข้อกำหนดที่จำเป็น เพื่อพิสูจน์ว่าสินค้าไม่ได้มาจากพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย และเป็นไปตามกฎหมายท้องถิ่น จึงจะสามารถเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรปได้
สำหรับผู้ส่งออกและซัพพลายเออร์ การไม่ปฏิบัติตามอาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่าสูงแห่งนี้ ขณะที่ผู้ที่ปรับตัวได้เร็วจะได้เปรียบในการแข่งขัน โดยสามารถแสดงความยั่งยืน สร้างความไว้วางใจ และรักษาความร่วมมือในระยะยาวได้
บริษัทต่างๆ ต้องยื่นพิกัดละติจูดและลองจิจูดที่แน่นอนสำหรับแต่ละแปลงผลิต และในกรณีที่พื้นที่เกินกว่า 4 เฮกตาร์ จะต้องมีการทำแผนที่ขอบเขตด้วยรูปแบบโพลีกอนเพื่อกำหนดขอบเขตที่ดินอย่างชัดเจน เมื่อนำข้อมูลภูมิสารสนเทศนี้มาบูรณาการเข้ากับข้อมูลซัพพลายเออร์ ปริมาณการผลิต และประเทศต้นทาง ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อกำหนดของ EUDR ได้
หากไม่มีพิกัดที่แน่นอน จะเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยืนยันได้ว่าสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านั้นผลิตขึ้นที่ไหนและอย่างไร ทำให้ภูมิสารสนเทศกลายเป็นรากฐานสำคัญของการค้าอย่างยั่งยืน โปร่งใส และสอดคล้องตามกฎหมาย ดังที่ระบุไว้ในเอกสารคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ EUDR ของคณะกรรมาธิการยุโรป ข้อบังคับนี้มีเป้าหมายเพื่อลบผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าออกจากตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งตอกย้ำถึงความเร่งด่วนที่บริษัทต้องเร่งปรับใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับที่แข็งแกร่งและให้ความโปร่งใสตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ถึงโต๊ะอาหาร
EUDR ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานภาคเกษตร โดยกำหนดให้ข้อมูลภูมิสารสนเทศเป็นข้อกำหนดบังคับสำหรับการเข้าถึงตลาดสหภาพยุโรป ภายใต้ข้อบังคับนี้ บริษัทต่าง ๆ ต้องแสดงหลักฐานที่ตรวจสอบได้ว่าผลิตภัณฑ์ของตนผลิตอย่างถูกกฎหมายและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า หลักฐานนี้ต้องอยู่ในรูปแบบของข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับ ที่สามารถเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นกับแปลงที่ดินที่ใช้เพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยว โดยธุรกิจจะต้องยื่นข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ตรวจสอบตามกระบวนการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence Statement) ซึ่งรวมถึงพิกัดภูมิศาสตร์ ส่งไปยังระบบสารสนเทศของสหภาพยุโรป (EU Information System) อย่างเป็นทางการ.
ข้อบังคับนี้ยังระบุวิธีการระบุตำแหน่งแปลงที่ดินด้วยพิกัดภูมิศาสตร์อย่างชัดเจน สำหรับแปลงที่ดินที่มีขนาดใหญ่กว่า 4 เฮกตาร์ (ยกเว้นการเลี้ยงวัว) ธุรกิจจะต้องจัดส่งพิกัดแบบรูปหลายเหลี่ยม (polygon) ที่มีความแม่นยำอย่างน้อย 6 ตำแหน่งทศนิยม เพื่อกำหนดขอบเขตของแปลงที่ดิน ส่วนแปลงที่ดินขนาดเล็กไม่เกิน 4 เฮกตาร์ หรือสถานประกอบการเลี้ยงวัว สามารถระบุตำแหน่งด้วยจุดพิกัดละติจูดและลองจิจูดเพียงจุดเดียวได้ วิธีการที่มีโครงสร้างนี้ช่วยส่งเสริมความสอดคล้องกันของข้อมูล ในขณะเดียวกันก็รองรับความแตกต่างเชิงปฏิบัติในเรื่องขนาดฟาร์มและประเภทสินค้าเกษตร
ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ถือเป็นรากฐานสำคัญของการปฏิบัติตามข้อบังคับ EUDR โดยไม่ได้เป็นเพียงข้อกำหนดเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังในการแสดงความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและความโปร่งใสขององค์กร ซึ่งมีความสำคัญในหลายมิติหลัก ได้แก่:
การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ช่วยให้ธุรกิจสามารถเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์โดยตรงกับพื้นที่เพาะปลูกหรือผลิตจริง ซึ่งเป็นข้อกำหนดหลักของ EUDR ข้อมูลนี้ช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตรวจสอบย้อนกลับสินค้าไปยังแหล่งกำเนิด และยืนยันได้ว่าแหล่งผลิตปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า
การตรวจสอบการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation Verification)
ด้วยข้อมูลตำแหน่งที่แม่นยำ บริษัทสามารถยืนยันได้ว่าโซ่อุปทานของตนไม่มีความเชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่าที่ผิดกฎหมายหรือเป็นอันตราย ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายของ EUDR ในการลดการตัดไม้ทำล่าป่าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่เข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป
คำแถลงการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence Statements)
ข้อบังคับกำหนดให้บริษัทต้องจัดส่งคำแถลงการตรวจสอบสถานะ (DDS) โดยต้องมีข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งของแหล่งผลิตที่ถูกต้อง ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์จึงมีความสำคัญต่อการสนับสนุนและตรวจสอบความถูกต้องของคำแถลงเหล่านี้
ความแม่นยำและรูปแบบของข้อมูล (Data Accuracy and Format)
EUDR กำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับความแม่นยำของข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ รวมถึงค่าพิกัดที่ต้องมีความละเอียดอย่างน้อย 6 ตำแหน่งทศนิยม และการใช้แผนที่รูปหลายเหลี่ยม (polygon) สำหรับแปลงที่ดินขนาดใหญ่ การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้รายงานมีความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับข้อบังคับ
การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
ข้อมูลพิกัดที่แม่นยำช่วยให้บริษัทสามารถประเมินและลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า เช่น การถูกลงโทษจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือการสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาด ได้อย่างทันท่วงที
ความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Transparency)
ข้อมูลพิกัดที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานโดยรวม สร้างความเชื่อมั่นให้กับหน่วยงานกำกับดูแล พันธมิตรทางธุรกิจ และผู้บริโภค
การผสานเข้ากับแนวทาง ESG (ESG Integration)
การใช้ข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR ยังช่วยสนับสนุนพันธสัญญาของบริษัทในด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) เสริมสร้างความมุ่งมั่นต่อการจัดหาทรัพยากรอย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม
การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านพิกัดภูมิศาสตร์ของ EUDR ไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทสอดคล้องกับกฎระเบียบเท่านั้น แต่ยังสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ผ่านการแสดงถึงความโปร่งใส ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เข้มงวดของ EUDR Koltiva ได้ผสานรวมเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเข้ากับแพลตฟอร์มตรวจสอบย้อนกลับแบบครบวงจรอย่าง KoltiTrace MIS Land Use Tracker แพลตฟอร์มบนเว็บและมือถือระบบนี้ช่วยให้เกิดความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่แหล่งผลิตจนถึงผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย โดยการผสานแผนที่เชิงพื้นที่ การติดตามผ่านดาวเทียม และการบันทึกข้อมูลภาคสนามแบบเรียลไทม์ KoltiTrace ช่วยให้ภาคธุรกิจมองเห็นกิจกรรมในระดับฟาร์มได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบถึงแหล่งกำเนิด ติดตามการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อบังคับ และยืนยันการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนและกฎหมายได้อย่างมั่นใจ ผลลัพธ์คือโซลูชันที่สามารถปรับขนาดได้สำหรับการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส
Land Use Tracker V3 ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำคัญของแพลตฟอร์ม KoltiTrace MIS มาพร้อมกับความสามารถดังต่อไปนี้:
ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดปานกลาง (10 เมตร) สำหรับการติดตามการใช้ที่ดินอย่างต่อเนื่องและแม่นยำ
การเข้าถึงแผนที่โอเพ่นซอร์สหลากหลายประเภท รวมถึงแผนที่จาก Global Forest Watch (Tree Cover Loss), ศูนย์วิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรป (JRC) และเครือข่าย Science Based Target Network (SBTN) โดย Land Use Tracker V3 ยังมีเทคโนโลยีตรวจจับการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นภายในองค์กร พร้อมเครื่องมือตรวจสอบภาพถ่ายภาคพื้น (Desktop Verification) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยอัลกอริธึม Continuous Change Detection and Classification (CCDC) เพื่อแสดงกราฟิกประวัติการใช้ที่ดินในอดีต
การตรวจสอบพิกัดเชิงภูมิศาสตร์ของแปลงเกษตรเทียบกับพื้นที่อนุรักษ์หรือเขตจำกัดการใช้ที่ดิน โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลโลกของพื้นที่คุ้มครอง (World Database on Protected Areas: WDPA) และแผนที่ที่ได้รับการยืนยันจากรัฐบาลท้องถิ่น โดยเฉพาะในประเทศที่ Koltiva มีการดำเนินงานภาคสนาม เช่น อินโดนีเซีย ไทย เม็กซิโก เปรู บราซิล โคลอมเบีย เอกวาดอร์ กานา ฮอนดูรัส และโกตดิวัวร์
เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติภายในแพลตฟอร์ม KoltiTrace MIS ที่ช่วยลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลด้วยมือ และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดทำ Due Diligence Statements
มาร่วมรับชม BeyondTraceability Talks ในหัวข้อ "Mapping Sustainability: การใช้ภูมิสารสนเทศเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบย้อนกลับได้" เวทีเสวนานำโดยผู้เชี่ยวชาญ ที่จะพาคุณเจาะลึกการใช้ข้อมูลตามพิกัดสถานที่ในการเร่งให้เกิดแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งตอบโจทย์ข้อกำหนดอย่างเช่น EUDR.
ร่วมรับฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ได้แก่:
David Gaveau – ผู้ก่อตั้งและ CEO, The TreeMap และ Nusantara Atlas
Carlos Riano – ผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้และการใช้ที่ดิน, สถาบันป่าไม้ยุโรป (European Forest Institute)
Patrick Houdry – หัวหน้าฝ่ายขายโซลูชันด้านเกษตรและป่าไม้, Airbus Geospatial and Secure Connectivity Solutions
Anne Rosenbarger – ผู้จัดการฝ่ายความร่วมมือระดับโลกด้านห่วงโซ่อุปทาน, สถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute)
Rene Colditz – เจ้าหน้าที่โครงการวิทยาศาสตร์, ศูนย์วิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรป (Joint Research Center)
Andre Mawardhi – ผู้จัดการอาวุโสด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อม, KOLTIVA
ดำเนินรายการโดยFanny Butler – หัวหน้าฝ่ายตลาดอาวุโสประจำภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA)
เซสชันนี้มอบข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าสำหรับบริษัทที่ต้องรับมือกับข้อกำหนดซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฝ่ายความยั่งยืน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือการจัดหา คุณจะได้รับเครื่องมือที่ช่วยให้คุณขับเคลื่อนการตรวจสอบย้อนกลับด้วยข้อมูลได้อย่างมั่นใจ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ และก้าวสู่ขั้นตอนต่อไปในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่พร้อมรับอนาคต
ผู้เขียน: กุศิ อายู ปุตรี จันดริกะ ซารี, เจ้าหน้าที่โซเชียลมีเดียแห่ง KOLTIVA
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน: ดิมาส เปอร์เชกา, หัวหน้าฝ่ายการสำรวจระยะไกลและภูมิอากาศแห่ง KOLTIVA และผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมธรณีเทคนิค
เกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญ:
ดิมาส เปอร์เชกา เป็นนักพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS Developer) ผู้มีความมุ่งมั่น พร้อมด้วยวุฒิปริญญาโทด้านวิศวกรรม ปัจจุบันเขากำลังมีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมภูมิสารสนเทศที่ Koltiva เขามีความเชี่ยวชาญลึกซึ้งในด้านการจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ การสำรวจระยะไกล การวิเคราะห์ภาพจากดาวเทียม และการติดตามการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ดิมาสเชี่ยวชาญในการพัฒนาฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่สามารถขยายได้ และการพัฒนาแอปพลิเคชัน GIS บนเว็บ ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในด้านการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ เขาสนับสนุนโครงการความร่วมมือหลากหลายฝ่ายที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนและระบบการตรวจสอบย้อนกลับทางดิจิทัล ด้วยความสามารถในการปรับตัวและแนวคิดที่เปิดกว้างในการทำงานร่วมกัน ดิมาสสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความแม่นยำ นวัตกรรม และผลกระทบที่ชัดเจน
ทรัพยากร:
Gabriel, A., & Gandorfer, M. (2023). Adoption of satellite-derived maps in agriculture: A case study in southern Germany. Precision Agriculture, 24(2), Article 99. https://doi.org/10.1007/s11119-022-09931-1
European Union. (2023). Regulation (EU) 2023/1115 of the European Parliament and of the Council on deforestation-free products. Official Journal of the European Union. Retrieved May 23, 2025, from https://eur-lex.europa.eu/eli/reg/2023/1115/oj
Bolfe, É. L., Jorge, L. A. d. C., Sanches, I. D., Luchiari Júnior, A., da Costa, C. C., Victoria, D. d. C., Inamasu, R. Y., Grego, C. R., Ferreira, V. R., & Ramirez, A. R. (2020). Precision and Digital Agriculture: Adoption of Technologies and Perception of Brazilian Farmers. Agriculture, 10(12), 653. https://doi.org/10.3390/agriculture10120653
ความคิดเห็น