

25 ก.ค.ยาว 2 นาที
ยางพาราธรรมชาติมากกว่า 90% ของโลกปลูกโดยเกษตรกรรายย่อย แต่หลายรายยังไม่ถูกบันทึกในห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นทางการ ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งคิดเป็น 34% ตามด้วยอินโดนีเซีย (26%) เวียดนาม (8%) จีน (7%) และอินเดีย (7%)
ตั้งแต่ปี 1993 ป่าไม้กว่า 4 ล้านเฮกตาร์ (ซึ่งมีพื้นที่เทียบเท่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์) ถูกทำลายเพื่อปลูกยางพารา โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระบบนิเวศที่เปราะบาง เพื่อหยุดยั้งการสูญเสียป่าไม้เพิ่มเติม การติดตามย้อนกลับแหล่งที่มา (traceability) จึงกลายเป็นความสำคัญอันดับต้นๆ ในอุตสาหกรรมนี้
ปัจจุบัน G T Rubber ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีการเกษตรจากอินโดนีเซีย KOLTIVA ได้แผนที่แปลงปลูกยางพารากว่า 15,000 แปลง และยืนยันตัวตนเกษตรกรกว่า 4,500 ราย รวมถึงฝึกอบรมตัวแทนจำหน่าย 200 ราย เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ EUDR ป้องกันยางที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน
กรุงเทพฯ 11 สิงหาคม 2568 – ประเทศไทย หนึ่งในผู้ผลิตยางพาราธรรมชาติชั้นนำของโลก กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมีกฎระเบียบและแรงกดดันจากตลาดที่เน้นเรื่องการติดตามย้อนกลับและความยั่งยืนอยู่ในแนวหน้า บริษัท G T Rubber ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีเกษตร Koltiva ในการพัฒนาระบบติดตามย้อนกลับและบริหารจัดการความเสี่ยง ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR)
โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบติดตามย้อนกลับที่ครอบคลุมตั้งแต่แปลงปลูกของเกษตรกรรายย่อยจนถึงขั้นส่งออก
กว่า 90% ของยางพาราธรรมชาติทั่วโลกผลิตโดยเกษตรกรรายย่อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการนอกห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นทางการและมีความเชื่อมโยงจำกัดกับผู้แปรรูปหรือผู้ซื้อ (SPOTT, 2022) ประเทศไทยเป็นผู้นำการผลิตคิดเป็น 34% ตามด้วยอินโดนีเซีย (26%) เวียดนาม (8%) จีน (7%) และอินเดีย (7%) แม้อุตสาหกรรมนี้จะสนับสนุนการดำรงชีวิตของผู้คนนับล้าน แต่การขยายตัวอย่างรวดเร็วส่งผลให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และข้อพิพาทด้านกรรมสิทธิ์ที่ดิน เครือข่ายตัวกลางที่แตกแยก ได้แก่ พ่อค้าและผู้รวบรวม เพิ่มความซับซ้อนและทำให้การติดตามย้อนกลับและความยั่งยืนเป็นเรื่องยากที่จะบังคับใช้
งานวิจัยปี 2023 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เน้นย้ำความเร่งด่วนว่า ป่าไม้กว่า 4 ล้านเฮกตาร์ (พื้นที่เทียบเท่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์) ถูกเคลียร์เพื่อปลูกยางพาราตั้งแต่ปี 1993 โดยครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นหลังปี 2000 ส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางนิเวศน์ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมนี้มีขนาดใหญ่ แต่ยางพรายังไม่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในการอภิปรายระดับโลกเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า
เมื่อกฎระเบียบทางการค้าเปลี่ยนแปลง ความสามารถในการตรวจสอบแหล่งที่มาจนถึงระดับแปลงปลูก จะเป็นตัวกำหนดว่าใครจะสามารถเข้าถึงตลาดระดับโลกพรีเมียมต่อไปได้
G T Rubber กำลังขับเคลื่อนการติดตามย้อนกลับและการบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการนำระบบดิจิทัลจากบริษัทเทคโนโลยีการเกษตรของอินโดนีเซีย KOLTIVA มาใช้ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของที่ดิน ประเมินความเสี่ยงจากการตัดไม้ทำลายป่า และเชื่อมโยงข้อมูลระดับแปลงปลูกกับธุรกรรมการจัดซื้อ ข้อมูลละเอียดเหล่านี้เป็นแกนกลางของกรอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ G T Rubber ช่วยให้มีการติดตามและแจ้งเตือนความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ และยังเตรียมความพร้อมสำหรับการรวมระบบกับ EU Information Systems (EUIS) ที่จะมาถึง ซึ่งต้องการข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์และรายงานการตรวจสอบอย่างละเอียด
จนถึงขณะนี้ ได้มีการทำแผนที่รูปหลายเหลี่ยมแปลงปลูกยางพาราของเกษตรกรรายย่อยกว่า 15,000 แปลงทั่วประเทศไทย และยืนยันตัวตนเกษตรกรยางพารากว่า 4,500 ราย ด้วยการวิเคราะห์ภูมิสารสนเทศ ตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน และประเมินความเสี่ยงการตัดไม้ทำลายป่า ข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบเหล่านี้ถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับธุรกรรมการจัดซื้อในระบบบริหารจัดการข้อมูลศูนย์กลาง (MIS) ซึ่งช่วยให้ทีมงานตรวจสอบของ G T Rubber สามารถติดตาม ประเมิน และตอบสนองความเสี่ยงได้ทันที
ระบบนี้ออกแบบมาให้สอดคล้องกับ EUIS ที่จะเกิดขึ้น สนับสนุนการติดตามพิกัดภูมิศาสตร์อย่างละเอียด และรายงานการตรวจสอบที่จำเป็นภายใต้กฎระเบียบการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR)
ด้วยการรวบรวมการตรวจสอบและติดตามเข้าไว้ในแพลตฟอร์มเดียว G T Rubber จึงเสริมสร้างความโปร่งใสและความพร้อมรับมือเมื่อกฎระเบียบด้านความยั่งยืนพัฒนาไป
“การตัดไม้ทำลายป่าที่เกี่ยวข้องกับยางพารามักถูกประเมินต่ำเกินไปในการอภิปรายระดับโลก แต่ข้อมูลชี้ชัดว่ามีพื้นที่หลายล้านเฮกตาร์ถูกทำลายในสองทศวรรษที่ผ่านมา หากเราต้องการรักษาการเข้าถึงตลาดระหว่างประเทศ เราต้องก้าวข้ามคำประกาศและสู่ระบบที่สร้างข้อมูลตรวจสอบได้และนำไปปฏิบัติได้จากพื้นที่จริง นั่นคือวิธีเดียวที่จะพิสูจน์สิ่งที่เกิดขึ้นบนพื้นดินอย่างแท้จริง” มานเฟรด โบเรอร์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง KOLTIVA กล่าว “กฎระเบียบ EUDR และอื่นๆ ไม่ใช่อุปสรรคชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณทิศทางของการค้าระดับโลก สำหรับธุรกิจ ความสามารถในการแสดงการติดตามย้อนกลับถึงระดับแปลงปลูกเป็นหัวใจของความยืดหยุ่นระยะยาว เรื่องนี้หมายถึงการทำให้ห่วงโซ่อุปทานของเราปรับตัวได้ ไม่ใช่แค่กับกฎในวันนี้ แต่รวมถึงความคาดหวังในวันหน้า”
ตัวแทนจำหน่ายมักเป็นจุดอ่อนในห่วงโซ่การปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดยดำเนินงานในพื้นที่ห่างไกลที่มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจำกัด และขาดความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดใหม่ๆ ตัวแทนจำหน่ายกว่า 200 รายในเครือข่ายของ G T Rubber ได้ผ่านการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบในโครงการเสริมสร้างศักยภาพ การฝึกอบรมและการให้คำปรึกษาผสมผสานความรู้ด้านกฎระเบียบกับการปฏิบัติจริง โดยมีการประเมินก่อนและหลังการอบรมเพื่อวัดความเข้าใจในเรื่อง EUDR และการติดตามย้อนกลับ นอกจากนี้ยังมีระบบการติดฉลากสำหรับการแยกประเภทอย่างถูกต้อง (ทั้งยางที่ปฏิบัติตามและไม่ปฏิบัติตาม) และมีการใช้มาตรฐานการจัดซื้อเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของยางที่ได้รับการตรวจสอบ
“ข้อมูลจากแปลงปลูกเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะรับประกันความสอดคล้อง หากตัวแทนจำหน่ายนำยางที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเข้าสู่ระบบ ยางทั้งล็อตและความน่าเชื่อถือของระบบติดตามย้อนกลับก็จะถูกตั้งคำถาม นั่นคือเหตุผลที่เรามุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพและการตรวจสอบในทุกระดับ โดยเฉพาะในจุดที่มีการรวมกลุ่ม” โอลิเวียร์ บาแรงต์ หัวหน้าฝ่ายขายอาวุโสภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ KOLTIVA กล่าว “ความเสี่ยงมีจริง: การส่งมอบที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเพียงครั้งเดียว อาจส่งผลให้เกิดค่าปรับสูงหรือตีกลับสินค้า นั่นคือเหตุผลที่เรายึดมั่นในการติดตามย้อนกลับไม่เพียงแต่ในระดับแปลงปลูก แต่ยังรวมถึงตัวแทนจำหน่าย ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะและเครื่องมือช่วยติดตามย้อนกลับ การส่งมอบที่ไม่มีเอกสารสามารถทำลายการเข้าถึงตลาดได้ บทบาทของเราคือเตรียมระบบที่ช่วยให้ซัพพลายเออร์ระบุและแก้ไขความเสี่ยงเหล่านี้ก่อนที่จะกลายเป็นการละเมิดกฎระเบียบ”
Deforestation free supply chain
โครงการล่าสุดในภาคใต้ของประเทศไทยโดย G T Rubber นำเสนอรูปแบบการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานยางพาราปลอดการตัดไม้ทำลายป่าที่ใช้งานได้จริง โปรแกรมนี้จัดโครงสร้างโดยกรอบการมีส่วนร่วมสามระดับ เริ่มจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในระดับองค์กร ตามด้วยการฝึกอบรมเฉพาะสำหรับตัวแทนจำหน่ายท้องถิ่น และการให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่องแก่เกษตรกรรายย่อยในพื้นที่สำคัญ รูปแบบนี้ช่วยเสริมความสมบูรณ์ของข้อมูลและปรับปรุงการติดตามย้อนกลับในจุดรวมกลุ่มซึ่งมักเป็นจุดอ่อนในความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน
สิ่งที่ทำให้โมเดลนี้โดดเด่นคือการผสมผสานระบบตรวจจับความเสี่ยงหลายระบบเข้าด้วยกัน เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม บันทึกการใช้ที่ดินระดับชาติ และแพลตฟอร์มแจ้งเตือนการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อสร้างโปรไฟล์พื้นที่จัดหาวัตถุดิบที่อ้างอิงภูมิศาสตร์แบบไดนามิก ช่วยให้การประเมินความเสี่ยงแม่นยำขึ้นและสามารถป้องกันล่วงหน้าได้
G T Rubber มีแผนขยายโครงการติดตามย้อนกลับนี้ไปยังจังหวัดต่าง ๆ เพิ่มเติมในปี 2025 โดยตั้งเป้ารับสมัครเกษตรกรรายย่อยอย่างน้อย 10,000 รายภายในปี 2027 และเพิ่มสัดส่วนยางที่ได้รับการตรวจสอบในผลผลิตรวม บริษัทยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Koltiva เพื่อเสริมสร้างกรอบการติดตามย้อนกลับด้วยการใช้ฟีเจอร์ดิจิทัลใหม่และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจจับช่องว่างในการจัดหาและติดตามผลการดำเนินงานในแปลงปลูกอย่างใกล้ชิด
“นี่คือการแข่งขันในระยะยาว” ธนพล ตะนุนภัทรพล กรรมการผู้จัดการ บริษัท G T Rubber จำกัด กล่าว “ผู้ซื้อไม่เพียงแต่ต้องการคุณภาพอีกต่อไป แต่ยังต้องการหลักฐานว่าวัตถุดิบสามารถติดตามย้อนกลับได้และปลอดการตัดไม้ทำลายป่า นั่นคืออนาคตของการค้าระดับโลก”
===
G T Rubber Company Limited (GTR), we recognize that the future of our industry, our planet, and the livelihoods of millions rests on a foundation of sustainable practices. The escalating global challenges of climate change, irreversible deforestation, biodiversity loss, and critical human rights issues compel us not just to comply, but to proactively champion sustainable business practices for a "TOWARD SUSTAINABILITY & BEYOND" for our communities, our customers, and generations to come.
Offering human-centered technology and boots-on-the-ground solutions that digitize agribusinesses and help smallholder producers transition to sustainable practices and traceable sourcing, KOLTIVA is recognized as the leading global sustainable agriculture and supply chain traceability company. As a global technology provider, it constructs ethical, transparent, and sustainable supply chains, assisting enterprises in fortifying their resilience and transparency. The company helps businesses and their suppliers comply with ever-changing regulations and consumer demands worldwide with traceability solutions. Operating in more than 65 countries and fortified by a network of customer support offices in 20 countries, KOLTIVA is committed to supporting over 19,000 enterprises in establishing transparent and robust supply chains while empowering over 1,900,000 producers to increase their annual income. www.koltiva.com
Mr. Tanaphon Tanunpatcharapol
Managing Director
G T Rubber Company Limited
Comments