top of page

มีเพียง 12% ของบริษัทปลายน้ำที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ KOLTIVA เรียกร้องให้มีการแยกสินค้าอย่างครอบคลุมเพื่อป้องกันการกีดกันเกษตรกรรายย่อย

อัปเดตเมื่อ 12 ส.ค.

  • มีเพียง 30% ของบริษัทต้นน้ำ และ 12% ของบริษัทปลายน้ำที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งทำให้ห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่ไม่พร้อมต่อการบังคับใช้กฎระเบียบว่าด้วยผลิตภัณฑ์ปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR)

  • เมื่อกฎระเบียบของ EU ว่าด้วยผลิตภัณฑ์ปลอดการตัดไม้ทำลายป่ามีผลบังคับใช้ การแยกสินค้ากลายเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับภาคธุรกิจการเกษตร โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก

  • การตรวจสอบย้อนกลับจำเป็นต้องมีการนำระบบดิจิทัลและแนวทางปฏิบัติในการแยกสินค้าอย่างเข้มงวดมาใช้ในภาคสนาม เพื่อป้องกันการปะปนกันของพืชผลที่สอดคล้องกับกฎระเบียบและพืชผลที่ไม่สอดคล้อง ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญภายใต้ EUDR เนื่องจากการผสมสินค้าเพียงเล็กน้อยอาจทำให้สินค้าทั้งล็อตถูกห้ามเข้าตลาด EU

  • การฝึกอบรม การให้คำปรึกษา และการเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับเกษตรกรรายย่อยและคนกลาง เช่นที่ KOLTIVA ดำเนินการอยู่ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจ เกษตรกร และผู้รวบรวมผลผลิตสามารถปรับใช้กระบวนการแยกสินค้าได้อย่างเหมาะสมโดยไม่กีดกันชุมชนเกษตรกรรมที่เปราะบาง


ซูริค, 21 กรกฎาคม 2025 — ขณะที่วันที่มีผลบังคับใช้ของกฎระเบียบของสหภาพยุโรปว่าด้วยผลิตภัณฑ์ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ใกล้เข้ามา ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกกลับยังคงไม่พร้อมต่อข้อกำหนดที่เข้มงวดด้านการตรวจสอบย้อนกลับและการแยกสินค้า รายงานวิเคราะห์ของ Forbes ปี 2025 ระบุว่า แม้คำมั่นสัญญาในการไม่ตัดไม้ทำลายป่ากำลังกลายเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐาน แต่มีเพียง 30% ของซัพพลายเออร์ต้นน้ำ และ 12% ของผู้ดำเนินธุรกิจปลายน้ำที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อตรวจจับความเสี่ยงจากการตัดไม้ทำลายป่า ส่งผลให้การค้าหลายพันล้านยูโรที่มุ่งสู่ EU ตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างรุนแรง


หนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญแต่ถูกประเมินต่ำต่อการปฏิบัติตาม EUDR คือการปะปนกันของสินค้า ทั้งจากความประมาทเลินเล่อ หรือข้อบกพร่องในการดำเนินงานระหว่างการขนส่ง การรวมสินค้า หรือการซื้อขาย กฎระเบียบดังกล่าวกำหนดให้มีการแยกสินค้าจากแหล่งที่ดินที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดและไม่ปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด รวมถึงแหล่งที่ไม่มีข้อมูลแหล่งที่มา ซึ่งหมายความว่าสินค้าต้องแยกกันอย่างชัดเจนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวไปจนถึงการส่งออก หากไม่สามารถรักษาการแยกนี้ไว้ได้ อาจทำให้สินค้าทั้งหมดถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ EU

KOLTIVA บริษัทแอกริเทคจากสวิตเซอร์แลนด์-อินโดนีเซีย ที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบย้อนกลับและห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน เตือนว่า การแยกสินค้า — ทั้งในด้านกายภาพและขั้นตอน — ระหว่างสินค้าเกษตรที่สอดคล้องและไม่สอดคล้องกับ EUDR เป็นอุปสรรคสำคัญที่มักถูกมองข้าม หากไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ธุรกิจการเกษตรจำนวนมากอาจสูญเสียโอกาสเข้าถึงตลาด EU โดยสิ้นเชิง


สินค้าที่สอดคล้องตาม EUDR ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์เข้มงวด เช่น มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินถูกต้อง ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า และมีพิกัดภูมิศาสตร์ที่แม่นยำ สินค้าใดที่เก็บเกี่ยวจากพื้นที่ที่มีการตัดไม้หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020 หรือไม่มีการตรวจสอบย้อนกลับที่เชื่อถือได้ จะถูกจัดว่าไม่สอดคล้องและต้องแยกออกโดยสิ้นเชิง หากสินค้าที่สอดคล้องถูกปะปนกับสินค้าที่ไม่สอดคล้อง ไม่ว่าจากแหล่งที่ไม่ขึ้นทะเบียนหรือไม่ทราบแหล่งที่มา สินค้าทั้งหมดจะถูกห้ามเข้าสู่ตลาดยุโรป



ความท้าทายอยู่ที่ความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ซึ่งมีตัวกลางจำนวนมากและขาดเอกสารยืนยันแหล่งที่มาอย่างเหมาะสม การแยกสินค้าจึงไม่ใช่แค่เรื่องของกฎระเบียบ แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการบริหารความเสี่ยง

KOLTIVA สนับสนุนทีมภาคสนามผ่านแอปพลิเคชันมือถือ KoltiTrace เพื่อความโปร่งใส โดยใช้แนวทาง 3 ระดับในการวิเคราะห์ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ ได้แก่ การวิเคราะห์เชิงพื้นที่เท่านั้น การประเมินตามความเสี่ยง (รวมข้อมูลพื้นที่ + แบบสอบถาม) และการตรวจสอบแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทานและป้องกันไม่ให้สินค้าที่ไม่สอดคล้องเข้าสู่ตลาด


Andre Mawardhi ผู้จัดการอาวุโสด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อมของ KOLTIVA เน้นถึงความท้าทายเฉพาะในการทำงานกับห่วงโซ่อุปทานของเกษตรกรรายย่อยว่า“การแยกสินค้าโดยสมบูรณ์จากเกษตรกรรายย่อยนั้นเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานมักซับซ้อน มีจุดที่สินค้าอาจปะปนกันโดยไม่ตั้งใจ และอาจมีบางแปลงที่ยังไม่ได้รับการทำแผนที่ บางบริษัทอาจเลือกที่จะไม่รับซื้อจากเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้ปฏิบัติตามกฎได้ง่ายขึ้น แต่วิธีนี้เสี่ยงต่อการทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตอย่างยั่งยืนต้องถูกกันออกไป ธุรกิจจึงต้องสร้างสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎกับการมีส่วนร่วมของเกษตรกร”


สำหรับเกษตรกรรายย่อย ความซับซ้อนยิ่งมากขึ้น หลายคนดูแลหลายแปลง ซึ่งบางแปลงสอดคล้องกับ EUDR และบางแปลงไม่สอดคล้อง หากไม่มีแนวทางการแยกสินค้าที่เชื่อถือได้ ความเสี่ยงที่จะเกิดการปะปนกันสูง และอาจทำให้ผลผลิตทั้งหมดถูกปฏิเสธจากตลาดยุโรป


ราห์มาน ซาร์โวนอ เกษตรกรปลูกยางพาราในเขตกูไต บารัต จังหวัดกาลิมันตันตะวันออก กล่าวว่า“ผมดูแลหลายแปลง และบางแปลงได้รับการทำแผนที่แล้วโดย KOLTIVA ผมเข้าใจว่าการทำแผนที่จะช่วยระบุขอบเขตของแปลง หากเราได้รับการฝึกอบรมเพื่อแยกการเก็บเกี่ยวระหว่างแปลงที่ผ่านการทำแผนที่กับแปลงที่ยังไม่ผ่าน และระหว่างแปลงที่สอดคล้องกับแปลงที่ไม่สอดคล้อง มันจะช่วยพวกเราและชุมชนให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบนี้ได้”เขายังกล่าวเสริมว่า “ในฐานะเกษตรกร เราพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎ แต่เราต้องการการสนับสนุน การฝึกอบรม และความรู้ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เราถูกตัดออกจากตลาดได้เลย”


ree

ตามที่ Andre กล่าว การจัดการความซับซ้อนนี้ต้องใช้แนวทางที่เป็นขั้นตอน ดังนี้:

  1. รับรองความสอดคล้องและเอกสารที่ตรวจสอบได้ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการทำแผนที่แปลงที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง การยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงด้านการตัดไม้ และการปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม สังคม และต่อต้านการทุจริต

  2. ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อยืนยันว่าแหล่งที่มาไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า ด้วยพิกัดแปลงที่แม่นยำและเครื่องมือดิจิทัล เช่น แอปมือถือ รวมถึงการเก็บข้อมูลโดยตัวแทนที่ผ่านการอบรม

  3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการแยกและจัดเก็บสินค้า โดยใช้โกดังแยกเฉพาะ รถขนส่งแยก และระบบติดป้ายอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสินค้า

  4. จัดฝึกอบรมและตรวจสอบภาคสนาม ให้แก่เกษตรกร พ่อค้า และซัพพลายเออร์ เพื่อให้เข้าใจและปฏิบัติตามแนวทางการแยกสินค้า พร้อมมีการติดตามอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินความสอดคล้อง


อินดรายานี บาหลี หัวหน้าโครงการด้านยางพาราของ KOLTIVA กล่าวเสริมว่า“การแยกสินค้าสำหรับการปฏิบัติตาม EUDR ไม่ควรแลกมากับการกีดกันเกษตรกรรายย่อย นั่นคือเหตุผลที่ KOLTIVA เน้นการสร้างขีดความสามารถในท้องถิ่น ตั้งแต่การฝึกอบรมเกษตรกร พ่อค้า ไปจนถึงการให้ข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับแบบเรียลไทม์แก่ธุรกิจ เรากำลังสร้างระบบที่ตรวจสอบย้อนกลับได้และครอบคลุมทุกคน”ขณะที่วันบังคับใช้ EUDR ใกล้เข้ามา ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการนำระบบการแยกสินค้าและการตรวจสอบย้อนกลับที่เข้มแข็งมาใช้ หากไม่ดำเนินการ ไม่เพียงเสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังอาจสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าตลาด EU และส่งผลต่อชื่อเสียงของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน


สำหรับเกษตรกรรายย่อยอย่างราห์มาน การสนับสนุนจากภาคธุรกิจและรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญ“เราต้องการปกป้องป่าไม้และปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR” เขากล่าว “แต่หากไม่มีแนวทางชัดเจน ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำให้เราสูญเสียทุกอย่าง ด้วยการสนับสนุนที่เหมาะสม เราพร้อมจะทำหน้าที่ของเรา เพราะอนาคตของเรา รวมถึงสิ่งแวดล้อม ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้เช่นกัน”



เกี่ยวกับ KOLTIVA

KOLTIVA เป็นบริษัทผู้นำระดับโลกด้านการเกษตรอย่างยั่งยืนและการตรวจสอบย้อนกลับในห่วงโซ่อุปทาน ด้วยเทคโนโลยีที่เน้นผู้ใช้งานและโซลูชันภาคสนาม KOLTIVA ช่วยให้ธุรกิจการเกษตรสามารถแปลงสู่ระบบดิจิทัลและสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้เข้าสู่แนวทางที่ยั่งยืนและตรวจสอบย้อนกลับได้KOLTIVA สร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส มีจริยธรรม และยืดหยุ่น พร้อมช่วยให้องค์กรต่างๆ ปฏิบัติตามกฎหมายและความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยเครือข่ายในกว่า 65 ประเทศ และสำนักงานสนับสนุนลูกค้าใน 20 ประเทศ KOLTIVA ได้ช่วยเหลือองค์กรกว่า 19,000 ราย และสนับสนุนเกษตรกรกว่า 1.9 ล้านรายในการเพิ่มรายได้ประจำปี🌐 www.koltiva.com


Press Contacts

Daniel Prasetyo

Head of Public Relations & Corporate Communication

+62 8111 671 919 

daniel.prasetyo@koltiva.com


 
 
 

ความคิดเห็น


bottom of page